ข้ามไปยังเนื้อหา

๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ (สัมผัสรัฐประหารรอบที่ ๓ )

10155500_749780575041957_2778778097702072410_n (1)

เป็นเช้าที่เงียบ และถนนโล่ง รู้สึกแปลกๆตั้งแต่เช้า จนต้องคุยกับพี่แจงว่า ปฏิวัติตอนเช้าตรู่ ไปแล้วรึเปล่า ขณะนั้น ยังไม่เจ็ดโมงเช้าพี่แจงตอบขำๆ ปฏิวัติไปตั้งแต่เมื่อวานไง กฏอัยการศึก ตอนตีสาม

  • ๑๖.๐๐ น. สองพี่น้องลงรถไฟฟ้าที่ สถานีหมอชิต 

ทุกอย่างเงียบเหงา ดูคล้ายฝนกำลังจะตก ลมพัด เมฆดำมีแต่ฟันขาวๆจากรอยยิ้มของพี่ รปภ. ที่ยิ้มไปแนะนำทางไป สวนโมกข์ ให้เรา

 

เดินเรื่อยๆ ถึงสวนโมกข์ จากฟ้าครึ้มๆ ฟ้าก็กลับมาใสอีกครั้ง พี่รปภ. นั่งเงียบๆที่ประตูทางเข้า พร้อมกับบอกว่างานจบแล้วดูนาฬิกา

  • ๑๖.๕๐ น. คนที่นี้ค่อยๆเก็บข้าวของนิทรรศการ 

จากงาน “New Spirit รวมมิตร คิด สร้าง”มีเพียงเราสองคนพี่น้อง ที่สนใจยืนมอง ศิลปะ “ตัวกู” 

และถ่ายรูปท้องฟ้า รอบๆสวนโมกข์ทำไมทุกคนนั่งเงียบๆ ถือหนังสือสวดมนต์ ยังไม่ถึงเวลาทำวัตรเย็นนี่นาเมื่อเปิดเฟสบุ๊ค 
เพื่อลงรูป จึงพบว่า “ปฏิวัติ” ตอน ๑๖.๓๐ น.อาจเพราะสถานที่และคนที่ชวนสงบฟ้าก็ยังสวยงาม 
และงามแบบธรรมชาติของฟ้าตัดกับต้นโมกข์ที่ชั้นสาม สะท้อนกับเงาสระน้ำ ช่างงามจริงสองพี่น้อง 
จึงเดินชมนิทรรศการไปเรื่อยๆจนกลับเข้าสวนรถไฟอีกรอบ และพบว่า ร้านฐิตารีย์ ยังเปิดบริการปกติหลังจากอิ่มท้อง 
จึงเดินทางถึงสถานีขนส่งหมอชิต เพื่อหาตั๋วให้น้องสาวกลับบ้าน

 

พี่แท็กซี่ชาวอีสานที่ขับไปส่ง แนะนำให้ลงอีกฝั่ง แล้วข้ามสะพานลอยแทนเพราะรถติดมาก การพูดภาษาถิ่น ในวันที่ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น 
อบอุ่นดีจังลุงเปิดวิทยุให้ฟัง และย้ำเตือนให้รีบกลับบ้านก่อนสี่ทุ่มส่วนลุงกำลังวางแผนในหัวอยู่ วันนี้คงกินแกลบ 
ผู้โดยสารน้อยตั้งแต่เช้ามารู้ว่าปฏิวัติก็เย็นมากแล้ว ต้องคืนรถคืนอู่

 

ทันทีที่อยู่กลางสะพานลอย สบตากับพี่ทหาร แต่สายตาก็มองท้องฟ้าเมฆสวยจัง แสงสวยมาก ยกกล้องขึ้นจะถ่ายภาพ แบตเตอรรี่ก็หมดทันทีหมดกัน…

  • ๑๘.๓๐ น. ในความโชคร้าย มีโชคดีอยู่ เมื่อนครชัยที่เร็วที่สุด คือ ๑๙.๐๐น.น้องได้กลับบ้านแน่ๆ เย้ และก็รอจน ๑๙.๓๐ น. รถถึงมาเทียบชานชาลาและเดินทางไปยังปลายทาง คือ ขอนแก่นบ้านเรา อย่างน้อยน้องก็กลับบ้านไปพร้อมกับคณะในฝันคะแนนออกวันที่๒๙ ค่อยคุยอีกทีว่าถึงจริงไหม
  • ๑๙.๔๐ น. ฉันเรียกรถมอเตอร์ไซต์วิน ไปBTSพี่คนขับ รีบเรียกให้ขึ้นรถ อย่างไว เพราะกลัวไม่ทันพี่เขาถามว่าบ้านหนูอยู่ไหน พอบอกฝั่งธน พี่เขารีบแสดงอาการเป็นห่วงด้วยการถามซ้ำๆบอกจะขับเร็วขึ้นนะ BTS คนแน่นแน่ๆเลยลองถามพี่เขาไปว่า 

    “ถ้ามีผู้โดยสาร คนสุดท้ายยืนรอตอน สองทุ่ม ห้าสิบนาที ลุงจะทำอย่างไร?”

    “พี่ จะไปส่งเขา แม้ทหารอาจจะจับ แต่เขาควรจะถึงบ้านนะในสถานการณ์แบบนี้ ส่วนพี่นะทหารคงไม่จับไปขังหรอก
    อย่างมากคงกักไว้คุย สอบสวน ช้าหน่อย พี่ก็มีรถขับกลับบ้านได้”
     

  • ๑๙.๕๐น. ทางขึ้นสู่BTS หมอชิต คนเหมือนขบวนมดแดงเลยเบียดเสียดกันตรงทางขึ้น มีนักข่าวถ่ายรูป เก็บภาพ มากมาย
    ฉันหาตั๋วได้ ได้เข้าขบวนรถ ได้ที่นั่ง อย่างไม่ลำบากมากนัก
  • ๒๐.๐๐น. โดยประมาณ ไม่ได้ดูนาฬิกา สถานีสยาม คนมหาศาล แน่นขนัด อย่างไร้ระเบียบ มีคนเป็นลม มีคนแทรกตัวไปมา 
    มีคนเหยียบเท้าเจ้าหน้าที่มีคนสะบดด่าอากาศมีเสียงเด็กร้อง มีเสียงโอดครวญของผู้สูงวัย

 

  • ๒๐.๑๕ น. ฝั่งที่รอจะขึ้นขบวนไปสถานีบางหว้า บางกว่าอีกฝั่งนิดหน่อยผู้คนพอเข้าแถว พอตวัดหางแถว ไม่ให้ขวางบันไดได้บ้างแต่ระหว่างรถ … 

หลายๆคน ถ่ายภาพฝูงชน
หลายๆคนถ่ายภาพตัวเอง
หลายๆคนก้มหน้ามองจอโทรศัพท์
หลายๆคนโทรหาปลายสาย แจ้งว่าBTS ปิดทำการสามทุ่ม เรือด่วนสาทรหมดแล้วทุกคนสีหน้ากังวล หมกหมุ่นกับความรู้สึกตนเอง
ฉันอยู่ข้างๆชายหญิงชาวญี่ปุ่น และชาวจีนฮ่องกงเป็นหญิงสามคนหนึ่งในนั้นมีเฝือกบางที่แขนซ้าย

  • ๒๐.๓๐น. ณ ตำแหน่งที่ยืน จริงๆควรได้เข้าไปข้างในขบวนนานแล้วแต่สภาพที่แน่น และเกรงใจคนข้างในรถที่พยายามเบียดตัวเองออกมา 

เราจึงยืนอยู่กับที่ ถ่วงน้ำหนักตัวเอง เพื่อให้คนข้างหลังรู้ตัวว่าควรชะลอบ้าง แต่ก็ไม่เป็นผลเสียงประกาศย้ำเตือน
“BTS หยุดให้บริการตอนสามทุ่มค่ะ ขออภัยในความไม่สะดวก”ความวิตกของแต่ละคน ไม่ได้ลด ละ เลยหนุ่มญี่ปุ่น จึงพูดเสียงดัง หันมาทางแฟนสาวเขา(ฉันฟังไม่ออก) ใจความคงประมาณว่าให้รอคอยอย่างไรรถก็มาทุกสิบห้านาทีอยู่แล้ว เขากางแขน กางขา เพื่อกั้นทางให้คนข้างในรถได้ออกจากขบวนรถและกั้นไม่ให้อีกฝั่งเบียดแทรกมาทางเรามากนักมีเขาผู้ชายชาวญี่ปุ่นคนเดียวที่ทำจนผู้หญิงที่อยู่ถัดจากเขา ต้องช่วยๆกันกั้นบ้างอย่างน้อยก็เพื่อคุณชายที่มีเฝือกอ่อนรถผ่านเราไปสองขบวน แต่ทุกคนยังหันมายิ้มให้กันได้ไม่นานไม่ถึงสิบนาที ก็มีขบวนรถมาทันทีทุกคนร้องว้าวขึ้นพร้อมกันฉันนึกในใจ (มันคือรางวัลของการรอคอยสินะ)แล้วเราทั้งกลุ่มก็ได้ขึ้นรถไฟฟ้าขบวนนั้น ก่อนจะแยกย้ายกันลงตามสถานีของแต่ละคน

  • ๒๑.๐๐น. ถึงสถานีสาทร- ตากสินเรือด่วนไม่มีแล้ว เป็นครั้งแรกที่ต้องนั่งเรือข้ามฝากตรงนี้ไม่เคยมา  โชคดีมีคนชวนลงเรือข้ามฝากสละที่นั่งให้นั่ง และบอกว่าให้เดินต่อถึงปากทางอย่าไว้ใจวินมอไซตืวินนี้เก็บแพงในภาวะรถน้อยและจุดบอดของฉัน คือ “ไม่เคยไม่งงทิศ” แล้วฉันก็เดินออกปากซอย เลยไปทางเสนาเฟส ซึ่งไม่เข้าใจว่าเดินไปทำไม มันโหวงเหวงไปหมดผู้คนยืนรอรถมากมาย สีหน้าต่างกังวล

    มีชาวจีนกลุ่มหนึ่งหันมาทางฉัน แล้วโบกมือพยายามสะกิดพี่สาวท่านหนึ่งให้หยุดรอฉันพอเขาหยุด ฉันก็เดินกลับมายืนข้างหลังพอดีและถามทางว่าเจริญนครอยู่ทิศไหนนะคะเขาเลยชี้ไปอีกทาง และถามว่าจะไปไหนบอกไปว่า “ศิริราช ” ค่ะ จำได้ว่าบ้านเพื่อนอยู่ “เจริญนคร ฉันจำซอยไม่ได้” รู้ว่าเดินเข้าไปจะมีร้านซักรีด มีเซเว่นเดินไม่ไกลจะถึงสถานีวงเวียนใหญ่ และเพื่อนบอกมี “รถกระป๋อง””ที่วัดสุวรรณ” คำพูดที่ตอบอย่างช้าๆของฉันเพราะฉันนึกเป็นภาพ และจุดที่จำที่เพื่อนบอกเท่านั้นจำทิศทางไม่ได้เลย พี่สาวใจดีท่านนั้น เลยแนะนำให้เดินย้อนขึ้นไปอีกทาง เจอสะพานลอยที่สอง ฝั่งตรงข้ามคือวัดสุวรรณมีรถกระป๋องอยู่ มีทหารถือปืนสี่ห้านาย บอกเขาไปส่งสิถ้าไม่ทันพี่คนนั้นบอกทางพร้อมยิ้มขำๆ ฉันได้แต่โค้งขอบคุณ ยกมือไหว้ พี่สาวใจดีและชาวจีนกลุ่มนั้นสุดท้ายก็เจอทหาร ได้แต่ยิ้มให้ ในใจคิดว่า “สามทุ่มครึ่งแล้ว ถ้าไม่ทันสี่ทุ่ม ถ้าไม่มีรถพี่ทหารจะไปส่งไหมนะ”แล้วชื่อ พลเอกพิเศษ… เจ้าของหอพักพอจะพาเรากลับหอพักได้ไหมนะ?(คิดเล่นๆ เพราะนึกชื่อไม่ออก โทรศัพท์ไม่มีแบตด้วย)

  • ๒๑.๓๘น. รถกระป๋องวิ่งผ่านหน้าฉันพอดีได้กลับศิริราช ได้พี่วิน ที่คุ้นหน้ายิ้มทักทาย คล้ายเป็นคนไข้เก่าที่เคยดูแลกันเขามาส่งหน้าทางเข้าหอ พร้อมบอกว่าดีจังยังไม่สี่ทุ่ม และพี่ไม่ได้ขึ้นเวรเกือบควักตังค์ให้ไม่ทันไม่รู้จะรีบไปไหน รึจะไม่อยากได้เงินฉันนะ

 

  • ๒๑.๔๐น. ตี๊ดประตูเข้าหอได้เสียบชาร์ตแบทโทรศัพท์ ได้รับข้อความแสดงความห่วงใยเรื่องรัฐประหารน้องถึงโคราชแล้วโทรศัพท์ไม่ถูกตัด โทรหาแม่ได้เพื่อนสนิทนอนเล่นที่ห้อง แจ้งข่าวการเมืองส่วนฉัน กำลังหาประจักษ์พยายานสักคน ร่วมรับรู้ฉันจะบันทึกทั้งหมดนี้ดีไหมนะ อย่างไรดี

    ขอบคุณการเตือนสติของชาวญี่ปุ่นท่านนั้น “คนดี บางทีต้องก้าวร้าว เพื่อชวนให้ทุกคนทำหน้าที่ที่ดีบ้าง”
    ขอบคุณหลายๆคน หลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งวัน วันนี้ “เมื่อเราเรียนรู้ที่จะให้ก่อน เราจะได้รับกลับมา มากกว่าที่ให้หลานเท่านัก หัวใจฟูไปหลายรอบเลยวันนี้”
    ขอบคุณท้องฟ้าธรรมดาที่สวนโมกข์ กรุงเทพฯ “เมื่อมีสติ แม้ในภาวะอปกติ เราก็ยังใช้ชีวิตปกติ ได้สบาย”

    ร้อยเรียง เรียบเรียง ด้วยความรู้สึกเชิญตะวัน 

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

…ความสุข ของคนที่แอบคิดถึง คือ ได้รับอนุญาตจากตัวเองให้คิดถึงเขาได้ตลอดเวลา…

เชิญตะวัน
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

วันแห่งจังหวะดีดี

การแสดงออกของความรัก ช่างเป็นศิลปะที่สวยงามและแสนยากต่อการสื่อสารระหว่างกันจริงๆ เพราะอาศัยแต่สิ่งที่คิดไว้ในหัวอย่างเดียวคงไม่ได้ เราอยากบอกเขา แต่เขาไม่อยากฟังเรา เขาอยากเดินช้า แต่เรากลับอยากวิ่ง เป็นแบบนี้คงหยุดพูดและฟังกันไม่เข้าใจ เปิดใจให้กันไม่ได้ มันถึงต้องมีจังหวะ ต้องรู้จักจังหวะที่ดีในการสื่อสารด้วย อย่างน้อยวันนี้ที่แสนธรรดา ก็ช่วยเพิ่มจังหวะดีดีให้ใครหลายคน ในการเริ่มการสื่อสารที่ดีจากใจถึงใจให้แก่กัน…

ขอความรักเกิดขึ้นกับทุกๆคนค่ะ

เชิญตะวัน
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

รูปภาพ

ลอย ล้อ ลม

ลอย ล้อ ลม

กวัดแกว่ง แขวน ไขว้คว้าเคว้ง แรงล้า
ก้าวกล้าย่าง เท้าก้าวย้ำ ฝันหวังหมาย เป้าฝัน
หันหาเห ห้วงหวนคืน ชื่นจิตฉัน ฝันหา

เชิญตะวัน
๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

คัดฝัน

ผู้เขียนและคุณผู้อ่านต่างก็เคยเป็นเด็ก ต่างต้องเคยเจอกับแบบฝึกหัดคัดไทยตามเส้นปะ พร้อมระบายสีให้สวยงามก่อนส่งคุณครู มันเป็นการบ้านที่เด็กเตรียมอนุบาล เด็กอนุบาลกระโปรงแดง กางเกงแดง(หรือสีลายๆแล้วแต่สถาบัน) ต้องทำ ทำแบบไม่รู้และเหตุผลว่าทำไมต้องทำ ทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงคร่าวๆว่า เมื่อคัดได้ถึงฮ.นกฮูก จะเขียนชื่อจริง นามสกุล และชื่อเล่นตัวเองได้ โอ้โหมันเท่ห์จริงๆ ในความคิดของเด็กน้อยในสมัยนั้น

          จำได้ว่าพยายาม เพราะมีความคิดว่าอยากจะเขียนตัวหนังสือเยอะๆให้เต็มหน้ากระดาษ แล้วส่งใส่ซองไปหาแม่ คิดว่าตัวอักษร คือ สิ่งที่จะนำพาให้เราได้คุยกับพ่อแม่ และขออะไรก็ได้ เล่าอะไรให้ฟังก็ได้ โอ้โหมันเจ๋งสุดๆในความคิดสมัยนั้น 

           จากนั้นก็พยายาม พยามยามคัด พยายามเขียนให้ตรงเส้นปะที่สุด แต่มือเจ้ากรรมก็อ่อนปวกเปียก บังคับไม่ค่อยได้ ทั้งที่ใจอยากเขียนให้เก่งๆ ให้เป็นเร็วๆ เพื่อนๆร่วมชั้นซึ่งอายุมากกว่าเด็กน้อยทุกคน เขาพากันเขียนได้หมดเลย ครูสอนแป๊บเดียวก็เขียนได้ ทุกคนล้วนได้รับคำชม ได้ขึ้นหน้าใหม่ หน้าแล้วหน้าเล่า มีแต่เด็กน้อยที่ยังเขียน ก.ไก่ ไม่ผ่านสักที…

           ช่วงแรกๆครูก็ให้กำลังใจ ปลอบโยน บอกว่า “ไม่เป็นไร…ครั้งหน้าคัดใหม่” นานวันเข้า เด็กน้อยยังอยู่ที่เดิม เพื่อนๆเริ่มไปไกล เกินจะรอเด็กน้อยไหว คุณครูเริ่มอ่อนใจ เริ่มมองข้ามเด็กน้อย กำลังใจที่เคยมอบให้ ค่อยๆหายไป เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่ดัง กระชั้น และเข้มขึ้น ให้เด็กน้อยคัดไทยได้เร็วๆ… หนูน้อยเริ่มท้อใจ เริ่มหมดกำลังใจ จากที่เคยบอกตัวเองว่า

“ไม่เป็นไร เริ่มใหม่ได้” กลับไม่มีเสียงแม้แต่จะบอกตัวเอง ได้แต่ร้องไห้ ร้องไห้ แล้วก็ฝึกเขียน ฝึกคัด แบบผิดๆถูกๆ ลองลากเส้นจากขาซ้ายของก.ไก่ก่อนบ้าง ขาข้างขวาก่อนบ้าง ลากจากตรงกลาง ส่วนที่เป็นหลังคาโค้งบ้าง จับดินสอสองมือบ้าง เปลี่ยนมือข้างที่ไม่ถนัดมาเขียนบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ ต้องลบแล้วลบอีก ลบจนกระดาษขาด ก็ไม่สำเร็จสักที….

           จนกระทั่ง คุณตาผู้ใจดี มาเห็นเข้า คุณตาใช้มือแตะที่กระหม่อมเด็กน้อยเบาๆ แววตามองด้วยความเป็นห่วง และพูดด้วยเสียงนุ่มๆเคล้ารอยยิ้มกับเด็กน้อยว่า… “เจ้ากำลังฝึกคัดไทยเหรอจ๊ะ ตาเห็นหนูคัดนานแล้ว ไม่ถูกใจสักที กระดาษหนึ่งหน้าเลอะทั้งขี้ยางลบและคราบน้ำตา แล้วเด็กน้อย มีอะไรให้ตาช่วยไหม ตาช่วยเจ้าได้นะ”  หนูน้อยได้ฟังก็สะอื้น มือปาดน้ำตาตอบคุณตาไปว่าหนูจะคัดไทย แต่คัดเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จสักที ขึ้นหน้าใหม่ไม่ได้นานแล้ว อยากคัดให้เร็วๆ อยากคัดให้ถึงฮ.นกฮูก อยากทันเพื่อน อยากให้ครูชม อยากเก่งเร็วๆ

…คุณตาได้ฟังก็ยิ้ม เด็กน้อยเจ้าแน่ใจเหรอว่าเจ้าอยากเขียน ก.ไก่ – ฮ.นกฮูก เป็นเร็วๆ  เพราะเหตุผลที่บอกมาทั้งหมดเมื่อกี้ หนูอยากเขียนให้ทันเพื่อน อยากเขียนเก่ง และอยากให้คุณครูชม เหรอจ๊ะ???   เด็กน้อยนิ่งสักพัก แล้วพูดเบาๆว่า ” จริงหนูอยากเขียนจดหมายให้ได้ อยากเขียนจดหมายหาพ่อกับแม่ แต่คัดตามเส้นปะ คัดไปคัดมา มองเพื่อนๆในห้องที่คัดได้สวย ได้เร็วกว่าหนูทุกคน หนูเลยคิดว่าหนูต้องคัดไทยให้สวยๆทุกตัวอักษรก่อนถึงจะเขียนได้ค่ะ”
หนูน้อยตอบด้วยความซื่อสัตย์ต่อหัวใจดวงเล็กๆของตัวเอง 

คุณตาผู้ใจดีเลยอดที่ขำไม่ได้ หัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะยื่นมือมาจับมือหนูน้อย แล้วบอกว่า “ค่อยๆคัด ค่อยขีดเขียน ตามเส้นปะ ลากจุดแต่ละจุดช้าๆด้วยใจที่มั่นคง ไม่ต้องรีบเร่ง ไม่ต้องคาดหวังว่าเจ้าตัวอักษรมันจะต้องสวยมากกว่าเพื่อนๆ แต่จงยอมรับหากตัวอักษรเบี้ยวบ้าง ตัวไม่สม่ำเสมอบ้าง เพราะมันเป็นตัวอักษรที่หนูบรรจงเขียนขึ้นเองทุกตัว ในแบบของหนู

         …มานี่ตาจะประคองมือน้อยๆเจ้าเขียนก่อน ค่อยๆลากดินสอ ลงน้ำหนักตามมือของตานะ หากเขียนคล่องแล้วตาจะค่อยๆปล่อยจากเจ้านะ ตกลงไหม?” หนูน้อยยิ้มหวานตอบตกลงในทันใด แล้วก็ค่อยๆเขียน ค่อยๆฝึก คัดตัวอักษร ก.ไก่ ตัวแล้วตัวเล่า จนครบหนึ่งบรรทัด แล้วคุณตาก็ให้เด็กน้อย คัดเองคนเดียว

ไม่น่าเชื่อเด็กน้อยสามารถคัด ก.ไก่ ได้ทั้งหน้า ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง  เมื่อคัดเสร็จก็กลับมามองดูผลงานของตัวเอง คุณตาก็แกล้งลองใจเด็กน้อย ” เอ๊ะ!! ตัวที่สาม บรรทัดที่ห้า เขียนเบี้ยวนะ ไม่สวยเหมือนตัวอื่นๆในบรรดทัดเลย ลบออกเขียนใหม่เนอะ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะหยิบยามลบมาลบ  “หนูน้อยร้องเสียงหลงว่า อย่านะคะ มันสวยแล้วค่ะ หนูพอใจแล้วค่ะ

เมื่อมองรวมๆเป็นแผ่นกระดาษ ก.ไก่ ทุกตัวก็ดูสวยดีค่ะ สวยในแบบของหนู ทั้งหมดนี่ คือ ลายมือของหนุค่ะ”  คุณตาได้แต่ยิ้ม ชื่นชมในตัวหลานสาว ที่เข้าใจในสิ่งที่ตาพยายามสอน แล้วลูบผมเด็กน้อยเบาๆพร้อมพูดว่า …”หากรู้สึกว่าถึงทางตันของความฝัน ให้ย้อนกลับไปคิดถึง

มูลเหตุของการก่อเกิดเป็น ความฝัน แล้วคราบน้ำตาและเหงื่อไคลจะจางลง เจ้าจะมองเห็นปลายทางของความฝันนั้นอีกครั้ง…”  

           นี่เป็นบทเรียน ที่จะสอนหนู ให้ฝึกจิตใจ ฝึกการคิดและกล้าตัดสินใจ หากหนูกล้าที่จะลองทำตามความฝัน ก็จงพยายามในแบบของหนูให้ถึงที่สุด อย่าเอนเอียง อย่าเปลี่ยนไปตามคนอื่นๆ ไม่มีใครรู้จักเราเท่าตัวเราเอง ตัวหนังสือที่ใช้เขียนจดหมายก็เช่นกัน จดหมายของหนูก็ต้องเป็นลายมือหนู จะสวยหรือไม่ จะขี้เหร่แค่ไหน แต่ถ้าหนูตั้งใจที่จะเขียน คนที่รับจดหมายยังไงก็อยากที่จะอ่าน และอยากที่จะเข้าใจหนูให้ได้จ๊ะ … พยายามเข้านะ ต่อไปจะขึ้น ข.ไข่แล้วนะ สู้ๆนะเด็กน้อย เขียนถึงฮ.นกฮูกแล้ว ยังเหลือสระอีกนะ ถึงจะผสมเป็นคำ และจากคำถึงจะฝึกเขียนเรียงเป็นประโยคได้…

ตัวอักษรถึงจะบอกเล่าเป็นเรื่องราว เป็นจดหมายได้ อย่างที่หนูอยากเขียนนะ คุณตาจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ทำให้หัวใจของเด็กน้อยพองโตอีกครั้ง หนูน้อยยิ้มออกและพร้อมที่จะฝึกต่อไป พยายามต่อไป จนสุดท้ายจดหมายถึงคุณพ่อ คุณแม่ก็ถูกเขียนได้จนสำเร็จด้วยลายมือของเด็กน้อยทั้งฉบับ 

บทความที่ตั้งใจจะเขียนในเดือนสิงหาคม

เชิญตะวัน

 

ว่าด้วย “คิด”

สวัสดีวันภาษาไทยแห่งชาติ

คิด

<– Lexitron Thai-English –>

คิด /kʰít/  [V] estimate

Example : นักภูมิศาสตร์จากบริษัทสำรวจทางอากาศคิดว่าการใช้คอมพิวเตอร์จะช่วยให้งานนี้สำเร็จได้เร็

คิด /kʰít/  [V] calculate

Example : นายจ้างจะคิดค่าอาหารและค่าที่พักให้ลูกจ้างโดยเรียกเก็บจากลูกจ้างภายหลัง

คิด /kʰít/  [V] consider

Example : ผมพยายามคิดหาเหตุผลที่เหมาะสมกับการกระทำของเขาในครั้งนี้

Related word: ได้คิด, ตริ, ตรึก, นึก, นึกคิด, นึกดู, บวกลบคูณหาร

คิด /kʰít/  [V] create

Example : คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์คิดขึ้นมาไม่น้อยกว่า 50 ปีแล้ว

คิด /kʰít/  [V] want

Example : เด็กที่อยู่ตามท้องนาก็คงมีจำนวนน้อยที่คิดจะไปเรียนเมืองนอกเมืองนา

คิด /kʰít/  [V] think

Def. ทำให้ปรากฏเป็นรูปหรือประกอบให้เป็นรูปหรือเป็นเรื่องขึ้นในใจ

Example : เขาคิดแบบแปลนบ้านไว้อย่างสวยหรู

คิด /kʰít/  [V] yearn

Syn. ถวิล,คิด

Def. มีใจจดจ่อ

Related word: ถวิล

การคิด

<– Lexitron Thai-English –>

การคิด  [N] thinking over

Syn. การขบคิด,การคิด

Related word: การขบคิด, การดำริ, การพิเคราะห์, มโนกรรม

ความคิด

<– Lexitron Thai-English –>

ความคิด /kʰwāːmˑkʰít/  [N] though

Syn. ความคิด,ความนึกคิด,ความรู้สึกนึกคิด

Example : คำตอบที่แท้จริงได้เรียบเรียงและกลั่นกลองออกมาจากความคิด

Related word: ความคิดอ่าน, ความนึกคิด, ความเห็น, จิต, ตรรก, ตรรกะ, พระราชดำริ, ภูมิปัญญา, มโนกรรม

ครุ่นคิด

<– Lexitron Thai-English –>

ครุ่นคิด /kʰrûnˑkʰít/  [V] ponder

Def. คิดคำนึงตลอดเวลา

Example : ผมครุ่นคิดถึงปัญหาตลอดเวลาที่ขับรถอยู่

Related word: คิดคำนึง, นึก, ปรารมภ์

คิดมาก

<– Lexitron Thai-English –>

คิดมาก /kʰítˑmâːk/  [V] think over

Def. คิดเกินกว่าเหตุ, รู้สึกสะเทือนใจง่าย

Example : เธออย่าคิดมากไปเลย ผู้จัดการไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิเธอหรอก

Related word: ครุ่นคิด, คิดหนัก, ช่างคิด

นักคิด

<– Lexitron Thai-English –>

นักคิด /nákˑkʰít/  [N] thinker

Syn. นักคิด,นักคิดค้น

Def. บุคคลที่ชอบคิดและวางแผนสิ่งต่างๆ

Related word: นักคิดค้น

ไตร่ตรอง

<– Lexitron Thai-English –>

ไตร่ตรอง /tràjˑtrɔ̄ːŋ/  [V] think over

Syn. พิจารณา,ไตร่ตรอง,ใคร่ครวญ,ตริตรอง,พินิจพิเคราะห์

วิตกกังวล

<– Lexitron Thai-English –>

วิตกกังวล /wíˑtòkˑkāŋˑwōn/  [V] worry

Syn. วุ่นวายใจ,หนักใจ,วิตก,วิตกกังวล,ว้าวุ่นใจ

Example : คนไข้วิตกกังวลว่าตนคงเป็นโรคร้ายแรง เพราะแม้แต่หมอก็ยังหาอาการไม่พบ

Related word: วิตก, วุ่นวายใจ, หวั่นวิตก, หวาดวิตก

 

ความวิตกกังวล

ความกังวลเป็นเรื่องธรรมชาติอย่างหนึ่งที่พบได้เป็นปกติในมนุษย์เพื่อเตรียมพร้อมในการเผชิญปัญหาหรือสถานการณ์ความเครียดต่าง ๆซึ่งแสดงออกทั้งในทางความคิดและความรู้สึกทางกาย ผลักดันให้คนเราแก้ปัญหาและคิดพัฒนาสิ่งต่างๆ  แต่ถ้าความคิดวิตกกังวลนั้นมากเกิน ควบคุมไม่ได้หรือไม่เหมาะสมต่อสถานการณ์ ร่วมกับมีอาการมากเกินไป ก็จัดเป็นความผิดปกติแบบหนึ่งที่ควรได้รับการดูแลรักษา เพื่อลดความทรมานกาย ทรมานใจเหล่านี้

ไม่สบายใจ

<– Lexitron Thai-English –>

ไม่สบายใจ /mâjˑsàˑbāːjˑtcāj/  [V] be uneasy

Ant. สบายใจ, สบายอกสบายใจ

Def. มีความวิตกกังวล

Example : ผมไม่สบายใจที่เห็นเขาอยู่ในความทุกข์

Related word: คับใจ, คับอกคับใจ, ใจไม่ดี, วิตกกังวล, อึดอัด

Ant. บุ่มบ่าม, ไม่รอบคอบ

จิตบกพร่อง

<– Lexitron Thai-English –>

จิตบกพร่อง /tcìtˑbòkˑpʰrɔ̂ŋ/  [N] mental deficiency

Syn. จิตบกพร่อง,จิตฟั่นเฟือน

Ant. จิตปกติ

Def. การที่บุคคลมีจิตใจหรืออารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป

Example : เขามีจิตบกพร่องจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะจำอะไรไม่ได้เลย

Related word: จิตฟั่นเฟือน

โรคจิต

<– Lexitron Thai-English –>

โรคจิต /rôːkˑtcìt/  [N] mental disorder

Def. โรคทางจิตใจที่มีความผิดปกติของความรู้สึก ความคิด อารมณ์ หรือพฤติกรรมอย่างแรงถึงขนาดคุมสติ

Example : คนบางคนมีอาการไม่สบายใจมากจนคนแวดล้อมคิดว่าเป็นโรคจิต

โรคจิต /rôːkˑtcìt/  [N] psychosis

Def. คิดทบทวน

Example : ผู้บริหารไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน

Related word: กลั่นกรอง, คิด, คิดหน้าคิดหลัง, ใคร่ครวญ, ตริตรอง, ตรึก, ตรึกตรอง, นึกดู, ยั้งคิด

บันทึกไว้ ณ
๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕

กรกฎาคม

แด่เธอ กรกฎาคม เธอช่างอ่อนโยนแต่เธอก็โหดร้ายจนน่ากลัว เธอมอบรอยยิ้ม แต่เธอก็สร้างน้ำตาเป็นลิตร

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เชิญตะวัน

๒๐ กรกรฎาคม ๒๕๕๕

มันคือ “หมวก”

ออกจะถือว่าโชคไม่ดีนัก  ถ้านักศึกษาพยาบาลจบใหม่หรือเพิ่งจบคนหนึ่ง ได้รับหมวกใหม่ ที่เธอจำเป็นต้องเปลี่ยนหมวก เพื่อดำเนินชีวิตต่อไปในบทบาทใหม่ของเธอ  แต่ดันเป็นหมวกที่สภาพไม่สมประกอบอย่างใบอื่นๆ  อย่างที่คนอื่นๆเขาได้รับกัน เพราะหมวกของเธอไม่มีด้ายเย็บตรึงขีดสีดำเล็กๆให้ติดกับหมวกสีขาวนี้  ทุกครั้งที่ตัวเธอมีการเคลื่อนไหว ขีดสีดำจึงหลุด จึงขยับ บางทีหลุดออกจากหมวกไปเลย  โดนแซวก็หลายครั้งว่า “แค่ขีดเล็กๆ ก็รักษาไว้ไม่ดี”  มีหลายหนเหมือนกัน ที่พี่และเพื่อนผู้ใจดี ทันเห็น และช่วยสะกิดบอกว่าขีดจะหลุดแล้ว ช่วยตกแต่งใหม่ก็มี แต่ก็ไม่ถาวร แต่เธอก็กลับทำเพิกเฉย ปล่อยให้เกิดภาพซ้ำๆเกือบเดือน เพราะในใจเธอสนใจเรื่องอื่นๆอยู่  จนวันหนึ่ง(วันนี้)วันที่ที่พรุ่งนี้หมวกใบนี้จำเป็นต้องใช้ เพราะคือการเริ่มทำงานบนหอผู้ป่วยอีกครั้ง
เธอนอน ทอดกายนิ่งอย่างสงบ อย่างหมดเรี่ยวแรงบนเตียง จริงๆเธอมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากมาย แต่เธอเลือกที่จะนอนนิ่งๆและอ่านหนังสืออ่านเล่นของเธอไป เนื่องจากช่วงนี้เธอนอนน้อย เลยเกิดความดันต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า และหน้ามืดบ่อยๆ  ทุกสิ่งในห้องเงียบงัน ได้ยินแต่เสียงหัวใจที่ยังเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่ ณ ขณะนั้น ปลายตาของเธอ ก็เหลือบไปเห็นหมวกใบเก่งใบเดียวของเธอ  แล้วนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้ หมวกใบนี้คือนางเอก  เธอจึงค่อยๆขยับตัวลุก แล้วเดินไปหยิบหมวก พร้อมทั้งม้วนด้ายสีขาวและเข็มเย็บผ้า … จากนั้นเธอจึงพิจารณา หมวกและขีดสีดำอันเล็กจิ๋วนั่น ก่อนที่จะลงมือสอยเย็บ ให้ขีดและหมวกผูกติดกันให้นานที่สุด โดยเส้นด้ายสีขาว

….  และในท้ายสุด เธอก็เย็บซ่อมแซมหมวกของเธอเรียบร้อย  คราวนี้คงยึดติดกันได้แน่น นาน นานพอ กับวิถีงานบนเส้นทางสีขาวนี้  ของเธอ

แด่เดือนพฤษภาคม เดือนแห่งการเติบโตและเปลี่ยนแปลง  ขอให้สติ เกิดกับข้าพเจ้าทุกขณะจิต เทอญ

เชิญตะวัน
๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕

ย้อน…คิด

รูปใบนี้ ใช้ประกอบคำสอนของคุณครู ที่รักเธอ หลายๆท่าน ที่ต่างคอยเป็นห่วงเป็นใย เฝ้าถามสารทุกข์ สุขดิบของเธอ คอยมอบสิ่งหนึ่งที่นำมาทั้งความโชคดีและโชคร้าย ในสัดส่วนที่พอจะทำให้เธอสามารถ ไปต่อได้ ในทางเดินสะเปะสะปะเส้นนี้ได้

ฉันเผลอขังตัวเองในห้องนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ มันเป็นห้องที่เงียบมาก เพราะฉันได้ยินแต่เสียงของตัวเอง จนมันกลายเป็นเสียงที่ดังมาก ขอบคุณคุณครู ที่มาสะกิดบอกว่ากุญแจห้อยอยู่ที่คอเธอนะ อยู่ที่ว่าเธอจะเปิดออกมาเอง…
เมื่อไหร่???

 

หยุด…มอง

หากเหตุการณ์นี้เป็นดังพายุฝน ที่ซัดกระหน่ำในชีวิต เธอก็เป็นผู้หญิงที่โชคดีมากคนหนึ่ง ที่มีผู้คนมากมายหยิบยื่นร่มให้เธอได้ใช้หลบฝน ถึงลมที่เธอได้รับมาจะเป็นสีเทา ในสายตาของเธอที่มองเห็นว่าเป็นสีเทา แต่สมองได้แปลผลและบอกเธอว่า สีเทา คือ ตัวแทนของความอบอุ่น ในด้านที่มืดดำก็มีแสงสีขาว ที่ชวนให้ว่างผสมกันอยู่  หากเธอ ลองหยุดแล้วมอง

อาจจะต้องฝึกมองอย่างมีทักษะสักหน่อย มองในมุมใหม่ มองในมุมเดิมแต่ใส่ประสบการณ์ใหม่ และหยุดแล้วหันกลับมามองจุดเดิมที่เคยผ่านมาอีกครั้ง …. ระหว่างที่ใจนิ่งๆนั้น สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่ผู้หญิงคนที่โดนฝนพบ

ภาพนี้สอนเธอว่า  ในโลกใบเดียวกันนี้ไม่ได้มีแค่สีเทาเท่าที่มองเห็นตอนนี้เท่านั้น หากยังมีโลกสีชมพู ที่ชายหญิง คู่หนึ่งกำลังมองเห็นด้วยกันอยู่ มันไม่มีหรอกโลกที่จะสีเทาตลอดกาลและโลกสีชมพูอันเป็นนิรันดร์ เพราะจริงๆมันมีแต่ “โลกใบเดิม”
และไม่มีแค่เธอ คนเดียวที่ต้องประสบกับโชคร้าย และก็ไม่มีใครที่ทั้งชีวิตจะมีแต่โชคดี ทุกๆคนย่อมเคยผ่านช่วงเวลาแห่งการดีใจและเสียใจมาในสัดส่วนที่พอๆกัน  เธออาจจะโชคดีหน่อย ที่ได้ใช้โชคร้าย ในการพยายามเยียวยาตัวเองจากสื่อต่างๆรอบตัวเป็น  อาทิเช่น

ฟังมาสองปี เธอถึงรักเพลงนี้  Dark side of the sun by Sirasak Ittipholpanich
…บางทีเราควรที่จะย้อนถามตัวเองบ้างนะ ว่าเรายึดติดมากไปรึเปล่า ยิดติดทั้งความเป็นตัวเราเอง และตัวเขา ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้มันไม่มีอยู่จริง…การปล่อยวางที่แท้จริง คือ ปลดปล่อยความคิดและใจของตัวเราเองต่างหาก
จริงๆอัลบั้ม Warm White เพลงเพราะมาก และผลงานอื่นๆของพี่ปิงปอง ก็เพราะมากมาย แต่แค่ชอบเป็นพิเศษช่วงที่รู้สึกเศร้าทุกที  แต่ไม่ได้ซึมเศร้านะ มันเป็นเศร้าแบบมีผลังแฝง ที่ยังลุกลุยต่อได้อยู่
ความคาดหวัง ทำให้มนุษย์เกิดแรงบันดาลใจในการทำทุกสิ่ง แต่อีกมุมหนึ่งความคาดหวังก็น่ากลัว หากไม่เป็นดังคาดของใครๆโดยเฉพาะตัวเองคาดเอง พลาดเอง ความรู้สึกผิดที่ค่อยๆสะสมทีละเล็กทีละน้อย นานๆเข้าก็ก่อให้เกิดอาการซึมเศร้าเรื้อรังได้แฮะ แต่ยาทางจิตเวชคงใช้ไม่ได้ผลเท่า ยาใจ สินะ ถ้าใจยอมรับ ไม่นานความเข้มแข็งคงกลับมา เพราะมีพี่ใจดีท่านหนึ่งเคยบอกมา

” ไม่มีใครเศร้าตั้งแต่เกิดยันตายนี่ครับ ฝนไม่ตกทั้งปีครับ
ผมคิดแบบนี้ครับ:) ”




หนึ่งในบรรดาร่มสีเทาของเธอ คือผลงานของศิลปินเหล่านี้


ไม่แปลกใจเลยทำไมคนที่เขียนหนังสือเป็น แต่งเพลงเป็น ร้องเพลงเป็น และ ถ่ายรูปเป็น เขาจึงมีเสน่ห์…สเน่ห์ของเขาคือ เขาใส่ความคิดและรายละเอียดของความรู้สึกไว้ในผลงานอย่างตั้งใจสุดกำลัง จากนั้นเขาก็รอแค่ว่าจะมีสักคนไหมที่เข้าใจความหมายและเห็นคุณค่าในมุมที่เขาต้องการสื่อ…ขอบคุณช่วงเวลาเศร้าว่างๆที่ทำให้ได้เจออักษร ลายเส้น สีสัน และท่วงทำนองที่ไม่เคยเจอ^^

ศิลปิน ถึงจะอ่อนไหว ในความรู้สึก แต่อีกมุมเขากลับเป็นคนที่เข้มแข็ง ในการยืนหยัดสร้างผลงานออกมา ทั้งนี้เพราะเขาให้คุณค่าของผลงานและคุณค่าของหัวใจตัวเองมากกว่ารอให้ใครคนอื่นๆมอบให้เขา
…และสุดท้าย ดอกทานตะวันในใจเธอ ก็แย้มบานรับอรุณอีกครั้ง


 ทานตะวัน…
เหลือต้นเดียวทนแล้งอยู่
ต้นไม้นี่สู้ทั้งแล้ง สู้ทั้งแสงที่แผดเผา
ทานตะวัน ทานให้แล้วซึ่งความหวัง
ขอความหวังจากทานตะวัน เชิญความหวัง ความฝัน กลับสู่ฉันเอย

มันเป็นความจริงที่ว่า…ความสุขไม่ต้องมองหา ไปต้องไปหาจากที่ไหน เพราะมันอยู่ในกระเป๋าใบใหญ่ที่เราถือมาตั้งแต่เกิด
“หัวใจเราเอง”

ในทุกๆลมหายใจที่เข้าออก เป็นสัญญาณบอกแค่เพียงว่าเจ้าของลมหายใจยังมีชีวิตอยู่ แต่หากเรารู้ทันว่า ณ ขณะนี้ ลมหายใจของเรากำลังเข้าและออก ช้าบ้าง เร็วบ้าง ขยับเขยื้อนตามกระแสของจิต…นั้นต่างหากคุณค่าที่แท้จริงของลมหายใจ ลมหายใจของทุกๆวันในชีวิตของเราเอง
เชิญตะวัน
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕